Silent Period เป็นข้อกำหนดสำคัญที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทนำหุ้นเข้าจดทะเบียนครั้งแรก (IPO) ข้อกำหนดนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ถือหุ้นสำคัญหรือ Strategic Shareholders ซึ่งรวมถึงกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกิน 5% ของทุนจดทะเบียน ทั้งยังครอบคลุมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีอำนาจควบคุมบริษัท
เกณฑ์ Silent Period สำหรับหุ้น IPO
สำหรับหุ้น IPO ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้หุ้นของ Strategic Shareholders จำนวนรวมกัน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO ถูกล็อคห้ามซื้อขายในช่วง Silent Period ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:
- ช่วงระยะเวลาห้ามขายหุ้น
- หุ้น 55% ของ Strategic Shareholders จะถูกห้ามซื้อขายในช่วง 1 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาด
- หลังจากผ่านไป 6 เดือน Strategic Shareholders สามารถทยอยขายหุ้นได้ 25% ของหุ้นที่ถูกล็อค
- เมื่อครบกำหนด 1 ปี จึงสามารถขายหุ้นทั้งหมดได้ 100%
- วัตถุประสงค์ของ Silent Period
- เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้นทั้งหมดในช่วงแรก
- ลดความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะผันผวนอย่างรุนแรง
- รักษาความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนรายย่อย
กรณีที่มีหุ้นเกิน 55% ของทุนชำระแล้ว
หากกลุ่ม Strategic Shareholders ถือหุ้นรวมกันมากกว่า 55% จะทำให้มีหุ้นบางส่วนที่ไม่ติด Silent Period ผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้สามารถขายหุ้นส่วนที่เกินได้ตั้งแต่วันแรกที่หุ้นเริ่มซื้อขาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ Strategic Shareholders เอง
การขายหุ้น IPO ผ่าน Big Lot
ในบางกรณี หุ้น IPO อาจถูกซื้อขายในรูปแบบ Big Lot ซึ่งหมายถึงการซื้อขายหุ้นในกระดานรายใหญ่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ เช่น สถาบัน เจ้าของกิจการ หรือกลุ่มนักลงทุนที่รวมตัวกัน โดยมูลค่าซื้อขายต้องไม่น้อยกว่า 1 ล้านหุ้น หรือ 3 ล้านบาทขึ้นไปที่ราคา IPO
การซื้อขายแบบ Big Lot นี้มักเกิดขึ้นระหว่างนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ Silent Period โดยตรง
Silent Period ช่วยนักลงทุนอย่างไร?
Silent Period มีบทบาทสำคัญในการป้องกันปัญหาด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนและรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้น IPO ในตลาด การขายหุ้นจำนวนมากของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในวันแรกอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อราคาหุ้นและความเชื่อมั่นต่อตลาด
เกณฑ์นี้จึงเป็นมาตรการที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนรายย่อย และส่งเสริมความน่าเชื่อถือของบริษัทในระยะยาว